slow life ใช้ชีวิตช้าๆ ตามกระแส : low cost ใช้เงินประหยัดๆ ตามฐานะ(ยากจน) : low season ฤดูที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว
ทริปนี้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเท่าไหร่ แต่ Thai Lion air ออกโปรโมชั่นราคาถูก ไปกลับ 780 บาท ที่ตรงกับวันศุกร์เย็นและกลับวันอาทิตย์ค่ำๆ อดใจไม่ไหว รีบจองไปช่วงหน้าฝนนี่ละกำลังดี คนเที่ยวก็ไม่เยอะ เพราะเคยมาช่วงหน้าฝนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ติดใจต้องมาซ้ำอีก ^_^ เริ่มต้นจองตั๋วมา 5 คน แต่พอใกล้วันเดินทางหายไป 2 เหลือพวกเรา 3 คน สวย หล่อ ตามที่เห็น ค่ะ ….
… slow life ใช้ชีวิตช้าๆ ที่เค้าพูดกัน แต่เราก็ใช้ชีวิตตามสภาพ อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป อยากกินอะไรก็กิน ไม่รีบ ไม่มีวางแผน ไรงี้ (จองแค่รถเช่าไว้)
… low cost ก็ใช้เงินตามฐานะที่มีน้อยใช้น้อย เพราะพวกเรา กิน อยู่ ง่าย อีกทั้งมาช่วงที่เค้าไม่ค่อยเที่ยวกัน
… low season ช่วงหน้าฝนเที่ยวทางเหนือนี่ละถูกต้อง คนน้อย ที่พักก็ราคาถูก ฟินละ
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง มีหมอกเล็กน้อยถึงปานกลางในตอนเช้า ^^,
(เหนือน่านฟ้า ซ้าย กทม. ขวา เชียงราย)
มีเวลา 3 วัน 2 คืน โดยวันแรกออกเดินทางวันศุกร์ช่วงเย็นหลังเลิกงาน ถึงสนามบินเชียงราย ก็รับรถ เลือก Sixt เพราะราคาถูกที่สุด วันละ 599 บาท ได้รถ Toyota Altis ซะด้วย หลังจากขึ้นรถ มองหน้ากัน เราจะไปไหนกันเหร๋อ ก่อนมาก็ไม่ได้วางแผนว่าจะไปไหน ฮาๆ แต่ไหวอยู่ ^_^
เปิด Google Map หาทนทางเข้าเมืองเพื่อหาอะไรกินก่อนละกัน คืนนี้คงนอนในตัวเมืองเชียงรายกันก่อนแล้วค่อยวางแผนว่าอีกวันเราจะไปไหน ให้ Google Map นำทาง แล้ว…. นึกออกได้ หอนาฬิกา ไปตรงนั้นก่อน แถวนั้นต้องมีร้านอาหารของกินเยอะแน่ๆ ไปกันๆๆ
ต่อไปหาที่พักกัน เพื่อนที่เคยมาเที่ยวเชียงรายแนะนำว่าไปพักที่บ้านนอนเพลินดิ เห็นว่าที่พักน่ารักดี ก็ Search ทันที มีใน Google map ด้วยแฮะ แสดงว่าได้รับความนิยมอยู่ ขับรถตามที่บอกทางก็ไม่ไกลจากหอนาฬิกา และบริเวณแถวนั้นก็มีที่พักอีกหลายที่ที่นิยม พวกเราก็เข้าไปบ้านนอนเพลินก่อนนะ มันปิ๊งแต่แรกเห็น แบบว่า First Impression ^^, ซึ้งตอนนั้นก็จะ 3 ทุ่มแล้ว ต้องรีบคุย ถามราคาและขอเข้าไปดูสภาพห้อง อื้อฮื้อ … มันใช่เลยอะ น่ารัก บ้านๆ ตกแต่งจากของที่เหลือใช้ให้เกิดประโยชน์ เนื่องจากที่นี่เดิมเคยเป็นเนอร์สเซอรี่มาก่อน ราคาก็แอบเกินงบที่คิดไว้ในใจ ยังไม่ต่อรอง แต่บอกเค้าว่า เดี๋ยวขอคุยกับเพื่อนก่อน จากนั้นแอบเดินไปดู B2 City ก็งั้นๆ (แอบคิดในใจว่า เราก็ยังมีใจให้บ้านนอนเพลิน กลับไปต่อราคาดีกว่าเนอะ) กลับมาต่อราคาห้องได้คืนละ 1,200 บาท นอน 3 คน ก็โอเค๊ ยอมรับได้ รีบตอบตกลง ขอบคุณที่เค้าลดให้ เก็บของเข้าห้องพัก เริ่มดึกแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็อยากออกไปวิ่งออกกำลังกายซิลๆ จริงๆ นะ อิอิ
แนะนำ บ้านนอนเพลิน นะคะ ช่วงฤดูหนาวจะเต็มทุกวันหยุด มาช่วงหน้าฝนสบายอยากพักห้องไหนเลือกได้ตามใจชอบ เจ้าของก็น่ารัก คุยง่าย ก่อนเข้าพักก็บอกกฏกติกาเยอะแยะ เช้าค่อยว่ากัน จำแค่ว่า อาหารเช้ากี่โมงก็พอ แฮะๆ
มาดูหน้าตาที่บ้านนอนเพลินกันนะคะ ว่าจะ … เพลิน … ขนาดไหน อาจจะไม่ครบทุกมุม
ภายในห้องนอน ทีวีรูปแบบเก่า แต่เปิดดูได้นะฮะ มีโต๊ะเป็นจักรเย็บผ้า
ห้องโถงนั่งเล่น
ฟินจุงเบย
จิปกาแฟยามเช้า
ทางเดินแนวๆ
หน้าห้องพัก ชื่อห้องจะตั้งเป็นชื่อ ตามระดับชั้นเรียน ห้องนี้ เตรียมอนุบาล 2/3 มีชั้นวางรองเท้าเก๋ไก๋ ใช้ของเดิมจากเนอร์สเซอรี่
ทางขั้นชั้นสอง
บนบ้านชั้น 2
เข้าสู่มุมอาหารเช้ากันบ้าง ต้องช่วยเหลือและบริการตัวเอง ขนมปัง ผลไม้ กับข้าว และข้าว ส่วนไข่ดิบมีให้ จะทอด ดาว ต้ม ได้ตามใจ กินเสร็จแล้วก็ต้องล้างจานกันเองด้วยนะคะ
มุมเพื่อสุขภาพ สามารถนำจักรยานไปปั่นได้เลย
โฉมหน้าเจ้าของบ้านนอนเพลิน (จำชื่อไม่ได้) ในนามบัตรให้ติดต่อ ครูกุ้ง คุณปอย โทร +6684-669-7926 , +6692-919-5429 ก็ได้พูดคุยที่มาที่ไปทำไมถึงได้มาทำบ้านพักนี่ ชีวิตดี๊ดี อยากมีแบบนี้ซักหลังไว้อยู่ตอนเกษียณบ้าง 🙂
หมดรอบช่วงเวลานำเสนอที่พัก เช้านี้ 2 หนุ่มตื่นเช้าออกไปปั่นจักรยานและวิ่ง เป้าหมายที่สนามบินเก่าซึ่งไม่ไกลจากที่พักมากนัก คนนึงปั่นจักรยาน อีกคนวิ่งไป อีกคน นอน zzzz…. (เมื่อคืนนอนน้อย นอนไม่ค่อยหลับ ^^)
ดูหน้าตาแต่ละคน ฟินเนอะ เพื่อสุขภาพๆๆ
กว่าจะขยับตัวออกจากที่บ้านนอนเพลินได้ก็ 10 โมงกว่าๆ แบบว่า อยู่ต่อเลยได้มั้ย อย่าปล่อยให้ตัวฉันไป ….
แต่ก็ต้องไป ไปที่อื่นบ้างไรบ้าง ^__^ ตกลงกันไว้แล้วว่าเราจะไปดอยแม่สลองกัน go go go
เอาละ เราจะเริ่มออกเที่ยวใช้ชีวิตช้าๆ บ้างละ คิดๆ … มาเชียงรายก็ต้องไปวัดกันบ้าง ไหนๆ ถามเจ้าของบ้านนอนเพลินแนะนำมาหลายวัด ที่ใกล้และไปง่ายที่สุดก็วัดพระแก้ว เริ่มต้น… ไม่บอกทางนะคะ ใน Google Map หาเจอ (เพราะจำทางไปไม่ได้แล้ว อิอิ)
…. วัดพระแก้ว
ภายในบริเวณวัดมีพิพิธภัณฑ์
ออกจากวัดพระแก้ว เห็นป้ายอุโมงค์ต้นจามจุรี ก็ต้องไปดูนะ ไปอีกไม่ไกล ก็เป็นอุโมงค์แนวๆ แบบนี้คะ 🙂
จากนั้น Search หาข้อมูล ว่าระหว่างทางไปดอยแม่สลองจะเจอสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง เจอละเป้าหมายต่อไป
… พิพิธภัณฑ์บ้านดำ อาจารย์ถวัล ดัชนี
ภายใน
ภายใน มองไปภายนอก ^^.
อยากเท่ห์บ้าง เอียงไปนิดส์
เท่ห์ คอดๆ กับกล้อง SJ คู่กาย
ไม่ว่าจะที่ไหนช่วงไหน นักท่องเที่ยวมนุษย์คนจีนเยอะแยะครองพื้นที่ไปหมด ที่นี่ก็เช่นกัน ยังกะอยู่เมืองจีน ^_^
แอบเม้าท์ เจอมนุษย์ป้าคนจีนหลายท่าน ที่มีวิวัฒนาการในการดัดแปลงไม้เซลฟี่ง่ายๆ น่ารักๆ เข้าใจคิดเนอะ ก้านร่มที่ยืดหดได้ ใช้คลิปหนีบกับโทรศัพท์แล้วใช้กระดาษทิชชูรองระหว่างตัวมือถือกับคลิปจะได้ไม่เป็นรอย แล้วมัดคลิปนี้ติดกับปลายร่ม แค่นี้ ง่ายนิดส์เดียว โอววววว ซาร่า มันยอดมาก…. เราก็ยืนมองดูและรอจังหวะแอบถ่ายรูปพฤติกรรมของป้าท่านนี้ ตามติดเรื่อยๆ แล้วก็ได้ยินเสียง… โฮ่วๆ (ไม่รู้สะกดถูกมั้ย ต้องได้ยินเสียงจริงๆ) เราก็ตกใจนึกว่าไล่พวกเราออกไปห่างๆ แต่พอสังเกตสีหน้านางจะยิ้ม หลังจากที่ร้อง โฮ่วๆ …. ใช่แล้วค่ะ ภาพของชมพู่ อารายาก็ผุดขึ้นทันที จากคำว่า แคปเจอร์ มาสู่ โฮ่วๆ น่ารักน่าชัง คริ คริ …. อย่าได้เจออีกที่ไหนนะ จะโฮ่วๆ ใส่เลย ฮาๆ
ไปกันต่อได้ 🙂 สถานีต่อไป ดอยแม่สลอง … แต่เอ๊ะ ระหว่างทางไปดอยแม่สลอง ต้องผ่านทางเข้าไร่ชาฉุยฟง งั้นแวะเข้าไปชมกันก่อน 2 หนุ่มเค้ายังไม่เคยมา ต้องจัดๆ
ไร่ชาฉุยฟง อ้าว ป้ายห้ามจอด จะโบกทำไมรึ
มีป้ายบอกนะ
มาถึงฝนก็ตกหนัก ก็ต้องนั่งฟินรอฝนหยุด ด้วยการ ชิมชาเขียว ไม่ว่าจะ เย็น ปั่น และปันถั่วแดง ขนมเค้กที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็อร่อยๆ ราคาเค้ก 2 ชิ้น ชาเขียว 3 แก้ว เท่ากับ กินอาหารได้ 2 มื้อเลยนะ แต่ก็ต้องลองไม่งั้นจะมาไม่ถึงไร่ชาฉุยฟง ^__^
ผลผลิตที่มาจากยอดชา (ไม่มีหนอนชาเขียว)
ฝนหยุดก็ลงไปยิ้มแป้นถ่ายรูปได้
ยอดชามันยอดมาก ^^,
ใส่เสื้อคนละสี ฝ่ายแดงกับฝ่ายน้ำเงิน
ย้ายมุมบ้าง
แถวนี้ยอดชาโดนเก็บไปละ
ถึงเวลาที่พนักงานเก็บยอดชาเลิกงานกลับบ้าน ระหว่างรอรถมารับ
กลับ กลับ กลับ
เจอวิวอลังการต้องขอเซลฟี่
อันนี้ก็เรียกเซลฟี่ โดยใช้กระจกช่วย 🙂
จ่าเฉยก็มา
ขยับมาอีกนิด มาถ่ายรูปตรงทางเข้าไร่ชาฉุยฟง ต้องจอดๆๆ คิดในใจ ตรูจะถึงดอยแม่สลองกี่โมงเนี่ย >**<
ขอเดี่ยวๆ
ขอคู่ๆ ^^
ขอเดี่ยวๆ
ขอโดดๆ ขาก็สั้นต้องใช้มุมกล้องช่วย ฮาๆ
ขอโดดบ้าง
มาดูเบื้องหลังการถ่ายรูปกระโดด
ต้องลาไปแล้ว ไร่ชาฉุยฟง ถ้าพรุ่งนี้มีเวลาเหลือจะแวะมาอีก วันนี้ฟ้าไม่เปิดเลย
แล้วระหว่างทางออกจากไร่ชาก็เจอทุ่งดอกหญ้าในดงต้นสับปะรดกระทบแสงแดดอ่อนๆ ต้องจอดอีกแล้ว เหร๋อ… ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน จริงแล้วตั้งใจว่าจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่ดอยแม่สลอง เปลี่ยนใจ ชมระหว่างทางก็ได้ จะตกตรงไหนก็ชมตรงนั้น เนาะ 🙂
หลอกให้นายแบบลงไปสำรวจในดงดอกหญ้าก่อน ว่าต้นสับปะรดสูงแค่ไหน เพื่อความปลอดภัย แฮะๆ
ถึงคิวนางแบบมือใหม่บ้าง ลงไปโพสท่า ได้แต่หัวเราะ ก็กดชัตเตอร์กันไปเองนะ
กดชัตเตอร์ซักร้อยรูปคงจะได้รูปที่คิดว่าดีและสวยซักรูป เนอะๆ
สลับกับเป็นตากล้องและเป็นแบบ
ยังไม่ได้ไปกันอีก จะมืดแล้วเน้อ
ไปกันต่อๆ ดอยแม่สลอง บอกว่าจะถึงๆ ก็ยังไม่ถึงซะที 555+ จากไร่ชาฉุยฟง ถึงดอยแม่สลองใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ แต่ตอนนี้ 6 โมงเย็น … แย่ละ ถึงมืดแน่ๆ ที่พักก็ไม่ได้จองมา ไปเรื่อยๆ ไม่รีบๆ ถึงดอยแม่สลอง 1 ทุ่มกว่าๆ ขับรถหาที่พัก ช่วงหน้าฝนที่พักจะราคาถูกและต่อราคาได้ เจอที่ไหนที่ยังเปิดไฟอยู่ก็ถามเลย เจอที่หมายละ ชื่อ My Place แม่สลอง ถามราคา อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้และเห็นวิวเวิ้งเขา แต่ยังไม่ตกลงไปหาอะไรกินกันก่อนจะได้มีแรงคิดและตัดสินใจ ร้านอาหารก็ปิดหลายร้าน เจอป้ายตรงข้ามที่พัก สุกี้ยูนาน ลองเลยละกัน ชุดละ 500 บาท กิน 3 คน เอาอยู่ หิวจัดลืมถ่ายรูปหน้าตาอาหาร กินเสร็จจะข้ามมาคุยต่อรองที่พัก อ้าววววว ปิดไฟมืดซะแล้ว ยังไงดี ก็โทรเข้าเบอร์ที่ป้ายบอกไว้ จัดการต่อรองราคา ต่อไม่มากนะคะต้องนึกถึงใจเค้าใจเรา ช่วง Low เค้าก็ต้องขาดรายได้ ต่อรองที่เราและเค้ารับกันได้ ตกลงราคาได้แล้ว เค้าให้เด็กมาจัดห้องและเสริมที่นอนให้อย่างรวดเร็ว
ระเบียงข้างนอก ขอบอกแมลงและยุงเยอะมาก ไม่กล้าเปิดมุงลวดอ่า ไม่งั้นโดนรุมแน่ๆ
ตื่นเช้ากับวิวหน้าที่พัก โอวววววว ตี 5 กว่าๆ พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเหนือยอดเขาแล้ว สว่างจ้า
และ 2 หนุ่ม ก็ออกไปวิ่งออกกำลังกายและหาของกิน ส่วน 1 สาว ลิงเปิ้ล นอนตามเคย เหตุผลเช้านี้ เป็นไข้ ตัวร้อน ลุกไม่ไหว กินยานอนพักต่อไป (สงสัยกระโดดเยอะไป) ปล่อยให้เอกไปวิ่งขึ้นบนพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี วิ่งขึ้นบันได เหนื่อยโฮก ไม่มีรูปประกอบ แต่ไปวิ่งจริงๆ นะ จะบอกให้ อิอิ
ส่วนอีก 1 หนุ่ม คือเปรม เดินเล่นตลาด หาของกินมื้อเช้า เพราะที่พักไม่รวมอาหารเช้า มีแค่ปาท่องโก้และกาแฟให้
ตลาดเช้า
ผักสดๆ จ้า
ชาวบ้านนำของที่ปลูกและหามาได้มาขาย ก็ช่วยอุดหนุนกันไป
นี่ละอาหารมื้อเช้าของพวกเรา ไก่ย่าง ชุบด้วยเครื่องเทศตามสูตรของที่นี่ กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ น้ำพริกเห็ด และผักสด ฟินแบบบ้านๆ ไปอีก 1 มื้อ
อิ่มแล้วก็เข้าสู่วิวหน้าห้องพักแบบแดดอ่อนๆ ตอนสายๆ
จัดการ Check out ออกไป เพื่อจะขับรถไปบนพระบรมธาตุ ทางก็วนขึ้นเขาสูงชัน เปิ้ลก็มึนเล็กน้อยเพราะยังมีไข้อยู่บ้าง แต่ไหวอยู่ ^_^
ลิงเปิ้ล ยังยิ้มได้ 🙂
เปรมกับไม้เซลฟี่กล้อง SJ คู่กาย (ดูเหมือนพ่อมดที่จะต้องพกไม้กวาดเนอะ)
มุมสวยๆ ทุกคนจะต้องมีรูปเดี่ยว ^^
มองเห็นวิวมหาชน
ลงมาจากพระธาตุ ต้องแวะจุดถ่ายรูปป้ายหลักกิโล กม. 0 ตามธรรมเนียม
เด็กน้อยน่ารัก ใสๆ
เอ้อละเหย ขณะนี้เวลา 11 โมง ไปกันต่อๆ เผื่อแวะเก็บรูปไร่ชาฉุยฟงอีกรอบ เหมือนว่าวันนี้จะแดดดี ฟ้าต้องแจ่ม ก็ไม่ได้แวะ เพราะออกตัวช้า ไปหามื้อเที่ยงกินดีกว่า ลงจากดอยมึนๆ ก็ต้องหาส้มตำกิน มาถึงทางแยกที่ตัดกับถนนใหญ่ เจอร้านข้าวขาหมู จัดไปแก้มึน ^^, มีส้มตำขายด้วยก็ช่วยบรรเทาไปได้ 🙂
จากนั้นไปกันต่อ ก็คงจะหนีไม่พ้นไร่บุญรอดที่ต้องห้ามพลาด
ไร่บุญรอด (ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป จริงๆ สภาพไร่ชาแต่ละไร่ก็จะคล้ายๆ กัน)
จากนั้นที่ต้องห้ามพลาด ถ่ายรูปคู่กับโลโก้ไร่บุญรอด สิงห้า (SINGHA)
รูปคู่ ? จะโดนต้นสังกัดฟ้องมั้ยนะ ไปแตะจมูกพี่สิงห์ ฟิ้วววววว…..
ไปต่อ วัดร่องขุ่น ที่เจอแต่มนุษย์คนจีน ใกล้ถึงเวลาที่จะปิดทำการ ก็ต้องรีบๆ
ขอส่วนบุญ
แอบมีเล็บแดง
มุมข้างวัด
ได้เวลาต้องไป Check in ขึ้นเครื่องกลับรอบ 19.25 น. แล้ว ซึ่งตอนนี้เวลา 17.30 น. กลัวจะหลงทาง รีบไปสนามบิน แวะเติมน้ำมันหมดไป 750 บาท ด้วยระยะทาง 2 ร้อยกว่ากิโลเมตร ประหยัดมากเลยอ่า ^_^ เติมน้ำมันเสร็จ รีบขับรถไปสนามบินแต่ขับไปมา 15 นาทีก็ถึงสนามบิน ยังไงละ มีเวลาเหลือๆ ก็วนออกไปหาซื้อไส้กรอกกินรองท้อง กลับมา คืนรถ Check in รอขึ้นเครื่องกลับสู่โหมดชีวิตคนเมืองต่อไป เอยยยยย…..
… เป็นว่าจบทริป slow life แบบ low cost ช่วงหน้า low สนุก Happy ลองเดินทางแบบไม่ต้องวางแผน ได้รู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและยอมรับสภาพในสิ่งที่เจอ แล้วเราจะได้รู้จักตัวเอง รู้จักคนรอบข้าง รู้จักสังคม มากขึ้น ต้องลองให้สุดๆ
การมีชีวิตจะสำคัญ ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิต ทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกวันทุกคน แบ่งส่วนการใช้ชีวิตให้สมดุลนะคะ
Fanpage เที่ยวแล้วยัง We like journey :www.facebook.com/welikejourney
อีเมล์ : lingple07@gmail.com
IG : lingple
Leave a Reply